ผู้ค้ำประกัน เป็นผู้ค้ำประกันคดีเช่าซื้อรถยนต์
ค้ำประกัน คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า “ผู้ค้ำประกัน” สัญญาว่าจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ถ้าหากลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้
กรณีที่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อรถยนต์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ และโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันเกินกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะหลุดพ้นความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ก็ตาม แต่หนี้การส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนนั้น หาใช่ค่าภาระติดพันอันเป็นหนี้อุปกรณ์ตามความหมายของมาตรา 686 วรรคสองไม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ หรือหากคืนไม่ได้ก็ต้องใช้ราคาแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 903/2562
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง” ตามข้อเท็จจริงหลังจากที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่ 33 ประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งถือเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ผิดนัด แต่โจทก์หาได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันไม่ โจทก์เพิ่งมีหนังสือขอให้ชำระหนี้และบอกเลิกสัญญาฉบับลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ส่งไปยังจำเลยทั้งสาม อันถือได้ว่าเป็นวันที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกัน เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือในวันที่ 27 กรกฎาคม 2559 และจำเลยที่ 3 ได้รับหนังสือในวันที่ 23 กรกฎาคม 2559 จึงเกินกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด จึงมีผลให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ แต่หนี้การส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนหาใช่ค่าภาระติดพันอันเป็นหนี้อุปกรณ์ตามความหมายของมาตรา 686 วรรคสองไม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ หรือหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน