การดำเนินคดีอันเนื่องจากการสั่งจ่ายเช็คแล้วไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้
การดำเนินคดีอันเนื่องจากการสั่งจ่ายเช็คแล้วไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้นั้น มีสองประการดังนี้
- คดีอาญา คือ การดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534
- คดีแพ่ง คือ การดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่อง ตั๋วเงิน
คดีอาญา จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 โดยในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ยกตัวอย่างให้ดูนี้จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งในเบื้องต้นนี้เห็นได้ว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่ท้ายที่สุดศาลตัดสินยกฟ้อง ด้วยข้อเท็จจริงใด เราลองไปศึกษาดูจากคำพิพากษาศาลฎีกานี้กัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2556
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติว่า เดิมจำเลยเป็นพนักงานขายรถยนต์ของห้าง…. สาขา… เมื่อปี 2546 โจทก์และจำเลยเข้าหุ้นกันประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์มือสอง โดยโจทก์ลงทุนด้วยเงินสด จำเลยลงทุนด้วยแรงงาน ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อซื้อขายรถยนต์กับลูกค้าและตกลง แบ่งกำไรให้จำเลยร้อยละ 40 จนถึงกลางปี 2547 ก็เลิกการเป็นหุ้นส่วนกัน แต่จำเลยยังคงประกอบกิจการต่อและกู้ยืมเงินจากโจทก์ไปลงทุนหลายครั้ง เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์รวม 5 ครั้ง ซึ่งในการกู้ยืมเงินแต่ละครั้งจำเลยได้ออกเช็คธนาคาร….. สาขา….. มอบให้ไว้แก่โจทก์ รวมแล้วมี 6 ฉบับ
ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 30 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท
ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท
และฉบับที่ 3 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2548 จำนวนเงิน 340,000 บาท
ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 20 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท
ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 24 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 325,000 บาท
และฉบับที่ 6 ลงวันที่ 24 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,015,000 บาท ครั้นเช็คทั้งหกฉบับถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ คดีสำหรับเช็คฉบับที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
“มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า” จำเลยออกเช็คฉบับที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์ และจำเลยยังทำหลักฐานการกู้ยืมเงินกับเขียนระบุไว้ชัดเจนว่า จะชำระหนี้ด้วยเช็คพิพาท โดยจำเลยมิได้ถูกโจทก์บังคับขู่เข็ญ แม้โจทก์จะทราบถึงฐานะการเงินของจำเลยดีว่าขาดสภาพคล่องอาจไม่สามารถหาเงิน มาชำระหนี้ทั้งหมดได้ก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าจำเลยจะต้องออกเช็คพิพาทเพื่อประกันหนี้กู้ยืมเสมอไป ฟังได้ว่า จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมตามที่โจทก์นำสืบ มิใช่เพื่อประกันหนี้
********เห็นว่า(ความเห็นในศาลฎีกา) ตามหนังสือสัญญาเงินกู้และหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน แม้มีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงและจะชำระหนี้ด้วยเช็คพิพาท แต่ในการค้นหาเจตนาที่แท้จริงจำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอื่น ๆ ประกอบเข้าด้วย โดยเฉพาะพฤติการณ์แห่งการกระทำทั้งหลายในขณะที่มีการออกเช็ค หาใช่ต้องถือตามข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรโดยฝ่ายเดียว ซึ่งในข้อนี้เดิมได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงพนักงานขายรถยนต์ แต่เหตุที่จำเลยมาร่วมกับโจทก์ประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์มือสองได้ก็เพราะมีโจทก์เป็นคนออกเงินทุนให้ และที่จำเลยสามารถลงทุนได้ด้วยแรงงานเพียงอย่างเดียว “แสดงว่าโจทก์เองทราบเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ต้นว่าจำเลยไม่มีหนทางใดที่จะหาเงินมาลงทุนด้วยได้เลย” เพราะไม่เช่นนั้นโจทก์คงไม่ยอมให้จำเลยเอาเปรียบที่ไม่ต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินลงทุนหากกิจการประสบภาวะขาดทุน ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่า โจทก์เองทราบถึงฐานะการเงินของจำเลยดีว่าขาดสภาพคล่องและอาจไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ทั้งหมดได้ ดังนี้ การที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวนมากและหลายครั้งในระยะเวลาต่อเนื่องใกล้เคียงกัน โดยที่จำเลยยังมิได้ชำระหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นหรือแม้บางส่วน เชื่อว่า โจทก์ทราบดีว่าจำเลยจะยังคงไม่สามารถที่จะหาเงินมาชำระหนี้ซึ่งมีจำนวนมากให้แก่โจทก์ในระยะเวลาอันใกล้ได้เลย ถึงแม้ เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยสมัครใจของจำเลยเองมิได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญของโจทก์ และ จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้ยืมโจทก์และออกเช็คพิพาทให้ไว้แก่โจทก์จริง ก็เป็นการยอมรับการเป็นหนี้ในทางแพ่งเท่านั้น หาใช่เป็นการยอมรับว่าจำเลยออกเช็คเพื่อการชำระหนี้เงินกู้ยืมด้วยไม่ กับได้ความอีกว่าในการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพื่อการใช้เช็คพิพาทของ จำเลย จำเลยเพิ่งกระทำด้วยการฝากเงิน 10,000 บาท ก่อนการกู้ยืมเงินโจทก์และออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ไม่นานนัก แต่หลังจากนั้นไม่มีการติดต่อกับธนาคารเพื่อขอทำธุรกรรมใด ๆ ในบัญชีอีกเลย เจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์บอกว่าจะเป็นนายทุนให้จำเลยกู้ยืมเงินและให้จำเลยไปเปิดบัญชีที่ธนาคารเพื่อขอใช้เช็ค จำเลยจึงไปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่ธนาคาร…. สาขา…. และเมื่อจำเลยไปกู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์ก็จะให้จำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกัน และที่เช็คฉบับที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีการแก้ไขข้อความวันที่และจำนวนเงิน ได้ความว่าเป็นการนำเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ไว้เดิมมาแก้ไขด้วยเหตุที่จำเลยกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ซึ่งฟังเป็นยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้นว่าโจทก์เพียงยึดถือเช็คดังกล่าวไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ยืม ยังเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกับการออกเช็คฉบับที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ทั้งการที่โจทก์มิได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินในทันทีที่เช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงิน แต่นำเช็คหลายฉบับไปเรียกเก็บในคราวเดียวกัน ยังเป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นเพราะโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรเช็คก็ไม่ สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามกำหนดนั่นเอง
“เมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์แห่งความสัมพันธ์และการกระทำซึ่งโจทก์ทราบถึง ฐานะการเงินของจำเลยเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ต้น เชื่อว่าขณะที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วออกเช็คพิพาทให้ไว้แก่โจทก์ล่วงหน้า โจทก์ทราบดีแล้วว่าจำเลยไม่มีทางที่จะชำระเงินตามเช็คได้ แต่ที่โจทก์ยอมรับเช็คไว้ก็เพื่อเป็นประกันหนี้และอาจนำมาฟ้องร้องบีบบังคับ จำเลยเป็นคดีอาญาได้อีกทางหนึ่งเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คฉบับที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืม จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4” ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน